บทนำ
(Introduction)
บทความวิชาการนี้มีจุดประสงค์ที่จะพูดถึงวิธีการแบบรื้อสร้าง
(Deconstruction) ในพระพุทธศาสนาเถรวาท
ซึ่งอุบัติขึ้นบนโลกนี้ท่ามกลางนานาลัทธิศาสนาในชมพูทวีปที่กำลังขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในการแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดของชีวิตมนุษย์
พระพุทธเจ้าในฐานะพระศาสดาซึ่งมีแนวคิดเชิงปฏิวัติทั้งที่เป็นระดับปัจเจกและสังคมได้ทรงประกาศสัจธรรมของชีวิตและได้ทรงแสดงชี้ทางแห่งการบรรลุซึ่งสิ่งดีที่สุดของชีวิตนั้นด้วยหลักมัชฌิมาปฏิปทาอันเป็นมรรคาสายกลางหลีกเลี่ยงจากส่วนสุดทั้งสอง คือ กามสุขขัลลิกานุโยค และอัตตกิลมถานุโยค ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมปฏิบัติกันในฐานะเป็นจารีตเพื่อจุดมุ่งหมายคือ
การบรรลุโมกษะ
ซึ่งบทความชิ้นนี้จะเป็นการประยุกต์ใช้วิธีแบบรื้อสร้างของนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส
ชื่อ จ๊าค เดอร์ริดา (Jacques Derrida)
ผู้ริเริ่มก่อตั้งแนวคิดแบบดีคอนสตรัคชั่น
และแนวคิดของเขาก็มีอิทธิพลต่อปรัชญาภาคพื้นยุโรป
ปรัชญาฝรั่งเศส
และทฤษฎีทางด้านวรรณกรรมอย่างมากในยุคปัจจุบันมาเป็นแนววิเคราะห์
ในพุทธประวัติหรือหลักพุทธธรรมทั้งหมดทีมีอยู่ในพระพุทธศาสนาโดยตลอดแล้วมีหลักธรรมคำสอนที่สอดคล้องกับแนวคิดแบบดีคอนสตรัคชั่นอยู่เป็นจำนวนมาก
เช่น พระพุทธศาสนามีแนวคำสอนที่เรียกว่า
ภวเทววิทยา (Onto-theological)
หมายถึงแนวคิดที่กล่าวถึงความมีอยู่หรือความสำคัญของพระเจ้าหรือเทพเจ้าเป็นจำนวนก็ตาม
แต่ท่าทีของพระพุทธศาสนาก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้เหนือความจริงอย่างอื่นว่าเป็นสิ่งยอดเยี่ยมที่สุด
และพระพุทธศาสนายังรื้อสร้างบทบาทและความสำคัญของเทพเจ้าเสียใหม่ให้มารับใช้ความจริงที่จะใช้แก้ปัญหาหรือความทุกข์ในที่สุด นี้คือลักษณะความคิดทางปรัชญาแห่งการเปลี่ยนแปลง
ที่เรียกว่า Deconstruction หรือแนวคิดแบบรื้อสร้าง
ซึ่งผู้เขียนต้องการนำเสนอมุมมองจากวิธีการของดีคอนสตรัคชั่นมามองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
เพื่อแสดงให้เห็นว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่วิถีทางแห่งชีวิตใหม่ของสังคมอินเดียสมัยพุทธกาลและแก่โลกเป็นส่วนรวม
ดังนั้น
จุดประสงค์ของงานชิ้นนี้
คือต้องการตรวจสอบหลักคำสอน
และข้อปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนาที่ลักษณะใกล้เคียงหรือคล้ายคลึงกับแนวคิดแบบ
Deconstruction
ซึ่งถือว่าเป็นแนวคิดใหม่ที่มีอิทธิพลอย่างมากในยุคปัจจุบันในโลกตะวันตกและบางส่วนของตะวันออก
เป็นการใช้วิธีการมองแนวหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาเถรวาทจากมิติของปรัชญาสำนักดีคอนสตรัคชั่น
เพื่อให้การมองภาพของพระพุทธศาสนามีความกระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะกล่าวเป็นลำดับต่อไป
ความหมายของ
Deconstruction (การรื้อสร้าง)
ก่อนจะพูดถึงความหมายของ Deconstruction
ขอแนะนำประวัติประวัติของเดอร์ริดาพอสังเขปดังนี้
เดอร์ริดา (Jacques Derrida) เป็นนักปรัชญาฝรั่งเศส เกิดเมื่อวันที่ 15
กรกฎาคม 1930 ณ เมืองเอลแบร์ (El-biar) ประเทศแอลจีเรีย ในครอบครัวเชื่อสายยิว เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวนทั้งหมด 5 คน ของครอบครัว ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตวัยรุ่นที่แอลจีเรีย
วัยหนุ่มมีความสนใจอ่านงานด้านปรัชญาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะงานของ Rousseau
Camus Nietzsche และ Gide มีความสนใจเป็นพิเศษในด้านปรัชญาภาษา จริยศาสตร์
ภววิทยา และทฤษฎีด้านวรรณกรรม เป็นผู้สร้างแนวคิดสำคัญ คือ Deconstruction,
Difference, Phallogocentrism ได้รับอิทธิพลแนวความคิดต่อจาก Foucault Heidegger และ Nietzsche มีอิทธิพลความคิดต่อฟูโกลท์
เดอแมนสไตเลอร์ แนนซี่ และบัตเตอร์ เป็นต้น มีผลงานเขียนหลายชิ้นที่สำคัญ คือ Of
Grammatology, Writing and Difference และ Speech and
Phenomena เป็นต้น
ทำหน้าที่บรรยายในมหาวิทยาลัยหลายแห่งและได้รับเชิญไปบรรยายในที่ต่างๆ
ทั่วโลก เสียชีวิตเมื่อวันที่ 8
ตุลาคม 2004 ที่โรงพยาบาลปารีสเซียนด้วยโรคมะเร็งในตับอ่อน
ขณะมีอายุได้ 74 ปี
คำว่า Deconstruction เป็นคำมาจากภาษาเยอรมันว่า
“Abbau” ซึ่งแปลตามตัวว่า “Unbuild or Undo” คือปลดเปลื้องหรือการแก้ไข เป็นคำที่ Husserl ใช้มาก่อน ต่อมา Martin
Heidegger นำมาใช้ในรูปศัพท์ว่า “Destruktion”
เพื่อใช้อธิบายแนวความคิดทางปรัชญาของเขาเอง
ซึ่งมีการพูดถึงธรรมชาติของปรัชญา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดที่เรียกว่า “ปรากฏการณ์วิทยา” (Phenomenology) ซึ่งเป็นชื่อเรียกของวิธีการทางปรัชญา
ซึ่งวิธีการดังกล่าวประกอบด้วยขั้น 3 ขั้น คือ 1) การลดทอน (Reduction) 2) การสร้าง (Construction) 3) การทำลาย (Destruction) โดยทั้ง 3 ขั้นตอนนั้นจะมีความเกี่ยวข้องกันอย่างมาก การสร้างมีความเกี่ยวพันกับการทำลาย แต่การทำลายมีความหมายว่าการรื้อโครงสร้าง แต่ไม่ใช่การทำลายทั้งหมดตามที่เข้าใจกันทั่วไป
แนวคิดนี้ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายกับสิ่งที่ครอบงำโดยแนวคิดแบบจารีตประเพณีต่างๆ
และขอบเขตแห่งจารีต
ต่อมา
เดอร์ริดา (Jacques
Derrida) ได้นำคำว่า Deconstruction จากงานของ Heidegger มาสานต่อเป็นศัพท์กลายพันธุ์เพื่อใช้วิจารณ์งานทางวรรณกรรม
และเป็นทฤษฎีหนึ่งที่นำมาใช้อธิบายกระบวนการของการอ่านทุกอย่าง
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อขุดค้นให้เห็นถึงรากเหง้าของหลักตรรกะของเนื้อความตรงข้ามที่อยู่ในตำรา Deconstruction
โดยตัวมันเองบางทีมีความหมายค่อนข้างคลุมเครือ
ไม่ชัดเจน ไม่สามารถจะสรุปได้ว่า
ที่แท้แล้วมันควรจะมีความหมายอย่างไร
หรือเป็นอะไร
ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถสรุปลงไปได้อย่างชัดเจนโดยส่วนเดียว ได้เพียงเพราะอาศัยการตีความหรืออธิบายตามตัวอักษร
คำว่า “Deconstruction” (รื้อสร้าง) ไม่ใช่คำพ้องกับคำว่า “Destruction” (การทำลาย)
อันที่จริงคำนี้มีความหมายใกล้เคียงกันมากกับความหมายดั้งเดิมของคำว่า “Analysis” (การวิเคราะห์) ในตัวมันเองในทางนิรุกติศาสตร์ (Etymology) จะหมายถึง “to undo” แปลว่า เปลี่ยนกลับ ปลดเปลื้อง
หรือแก้ ซึ่งพ้องคำว่า “to de-construct” ด้วย
ส่วนในบทความชิ้นนี้
การตีความไม่วาทกรรมที่ถกแถลงกันทางวิชาการที่ไม่มีผลทางปฏิบัติมาก
แต่นี่เป็นกรตีความในพระไตรปิฎกซึ่งถือเป็นเอกสารสำคัญที่สุดในทางพระพุทธศาสนาที่ผลในทางปฏิบัติค่อนข้างสูง
และตีความจากจริยาวัตรของพระพุทธเจ้าที่มีต่อหลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงเผยแผ่ตลอดระยะเวลา 45 พรรษา
ท่ามกลางกระแสความคลั่งใคร่ในลัทธิต่างๆ ที่ผุดเกิดขึ้นในสังคมอินเดีย ส่วนพระพุทธองค์จะมีแนวคิด Deconstruction
อย่างไรกับลัทธิเหล่านี้ เป็นโจทย์ที่ต้องวิเคราะห์ในลำดับต่อไป
บทวิเคราะห์ดีคอนสตรัคชั่นในพระพุทธศาสนาเถรวาท
บริบททางสังคมอินเดียในสมัยโบราณที่เด่นชัด คือ การนับถือธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
ท้องฟ้า ลม ไฟ
ภูเขา ป่าไม้ แม่
ต้นไม้ น้ำพุ และดวงดาว ว่าเป็นสิ่งที่ทรงไว้ซึ่งอานุภาพ
สามารถที่จะนำความฉิบหายและคุณประโยชน์มาให้แก่มนุษย์ได้ เพราะบางครั้งธรรมชาติเหล่านี้ได้แสดงภาวะต่างๆ
อย่างน่าอัศจรรย์และน่าสะพรึงกลัว เช่น
ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า น้ำหลาก
พายุพัด จึงได้ยึดถือเอาธรรมชาติเหล่านี้เป็นที่พึ่ง และให้ความเคารพนับถือ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการดำเนินชีวิตและความเบาใจที่มีที่พึ่ง และได้ยกธรรมชาติเหล่านี้ให้มีตัวตนเป็น
เทพเจ้าและมีความเชื่อว่า
เทพเจ้าสิงสถิตอยู่ในธรรมชาติเหล่านี้ด้วยความเคารพนับถือก็ดี ด้วยยำเกรงก็ดี ด้วยความกลัวก็ดีต่อธรรมชาติเหล่านั้น ก่อให้เกิดลัทธิการบูชาและการสวดอ้อนวอนของสิ่งที่ตนต้องการจากเทพเจ้าเหล่านั้น และมีบทสวดสำหรับสรรเสริญและบู ชาเทพเจ้าทั้งหลายในคัมภีร์ฤคเวท ปรากฏชื่อของเทพเจ้าที่เป็นพลังอำนาจทางธรรมชาติ
และได้ถูกยกให้มีตัวตนขึ้น จำนวน 33
องค์ แบ่งเป็นกลุ่ม 3 กลุ่ม
คือในโลก อากาศ และท้องฟ้า
แต่ละองค์มีหน้าที่ ที่อยู่ และคุณสมบัติแตกต่างออกไป
ในสถานการณ์เช่นนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในชมพูทวีป พระองค์ทรงประสูติในวรรณะกษัตริย์ พระนามเดิมว่าสิทธัตถะ ตามตำนานเล่าว่า
เจ้าชายสิทธัตถะประสูติแล้วก็ดำเนินไป 7
ก้าว
บนดอกบัวพร้อมกันเปล่าอาสภิวาจาหรือวาจาอาจหาญว่า “อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส,
เชฎฺโฐหสฺมิ โลกสฺส, เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส”
ความว่า เราเป็นผู้เลิศ เป็นพี่ใหญ่ เป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งโลก
การกล่าวเช่นนี้ถือว่าเป็นการประกาศอิสรภาพของมนุษย์ เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ชาวชมพูทวีปมีชีวิตขึ้นอยู่กับพระพรหม และเทพเจ้าต่างๆ
พระพรหมได้กำหนดให้มนุษย์ที่เกิดมาต้องอยู่ในวรรณะ 4
มนุษย์ต้องอยู่ในวรรณะ และอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของวรรณะนั้นไปตลอดชีวิต โดยไม่สามารถแก้ไขได้ เมื่อเป็นเช่นนี้มนุษย์ก็ต้องเอาอกเอาใจเทพเจ้าให้ช่วยเหลือ ด้วยการทำพิธีบวงสรวง อ้อนวอน
หรือบูชายัญ โดยมีพราหมณ์เป็นผู้ติดต่อกับเทพเจ้าให้ เนื่องจากว่าพราหมณ์สอนผู้อื่นได้
ดังนั้นพราหมณ์จึงนำความต้องการของเทพเจ้ามาบอกมนุษย์ว่าจะต้องทำพิธีบูชายัญอย่างไร
ทำให้สังคมอินเดียในอดีตถึงปัจจุบันมอบความหวังไว้กับเทพเจ้าทุกอย่าง
พระพุทธเจ้าทรงเห็นปัญหาแล้วจึงสอนให้คนคิดว่า
เราจะต้องทำอะไร และจะต้องทำอะไรกับตัวเราบ้าง
แทนการคิดแบบเดิมว่า เทพเจ้าจะว่าอย่างไร
และเราจะเอาอกเอาใจท่านอย่างไร
พระพุทธองค์จึงทรงดึงจากเทพสู่ธรรมด้วยการสอนให้คนคิดว่า
เราจะต้องทำเหตุเพื่อให้ผลที่เราต้องการ
ซึ่งเป็นการกระทำที่คู่กับความเพียร
ไม่ใช่การดลบันดาลที่คู่กับการอ้อนวอน
เนื่องจากมนุษย์มีความอ่อนแอที่จะโน้มเอียงไปในทางที่จะไม่เพียรพยายาม แล้วก็หันมาพึ่งปัจจัยภายนอกมาช่วยทำให้
แต่หลักของพระพุทธศาสนาสอนให้คนต้องทำเองเพื่อจะได้พัฒนาตนเองอยู่เสมอ
ดังนั้นการประสูติของพระพุทธองค์จึงถือว่าเป็นการประกาศอิสรภาพของมวลมนุษย์ด้วยการดึงจากเทพสู่ธรรม
หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
เป็นคำสอนที่ตรงข้ามกับความเชื่อดั้งเดิมอย่างเห็นได้ชัด ถือได้ว่าเป็นคำสอนแบบการรื้อสร้าง (Deconstruction)
คือเปลี่ยนจากความเชื่อเดิมโดยสิ้นเชิง
คำสอนในพระพุทธศาสนาสามารถรื้อสร้างความเชื่อของสังคมชาวชมพูทวีปในครั้งกระโน้นได้ โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ และชีวิตแต่อย่างใด
มันเป็นการรื้อสร้างที่น่าอัศจรรย์อะไรเช่นนั้น การรื้อสร้างทางความเชื่อที่เห็นได้ชัดเจน
ดังนี้.-
1.
การรื้อสร้างความเชื่อเรื่อง การทำทุกรกิริยา (To deconstruction of believe
the practice of austerities : Self-mortification)
สังคมของชาวชมพูทวีปในครั้งนั้นเชื่ออย่างแน่วแน่ว่า การทรมานกายด้วยวิธีต่างๆ (อัตตกิลมถานุโยค) สามารถทำให้จิตใจหลุดพ้นและเป็นที่โปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า และการที่จะให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ก็จะต้องดำเนินการไปในทางที่เป็นทุกข์ จึงจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ทำนองเดียวกับที่จะไปให้ถึงเชียงใหม่
ก็ต้องเดินไปตามทางที่ไปเชียงใหม่
ด้วยความสำคัญผิดเช่นนี้
จึงได้ประพฤติปฏิบัติโดยทรมานตนด้วยประการต่างๆ ในอาการที่เป็นทุกข์ เพื่อจะให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ด้วยเหตุนี้บรรดานักพรต ฤาษี
ชีไพร เจ้าลัทธิต่างๆ
จึงกระทำการทรมานตนอย่างน่ากลัวและน่าสังเวช
เช่น การใช้ของมีคมทิ่มแทงร่างกายให้ได้รับความทุกข์ทรมาน การอดอาหารเพื่อลงโทษร่างกาย เพราะถือว่าร่างกายเป็นศัตรูที่ขัดขวางการบรรลุวิโมกข์
การนอนบนหนามแหลมเพื่อให้ร่างกายได้รับทุกข์ทรมานและเจ็บปวด
หรือแก้ผ้าคลุกขี้เถ้าบ้าง เป็นต้น
แต่ความเชื่อดังกล่าว ได้ถูกทำลายและกำจัดไปสิ้น เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า “อัตตกิลมถานุโยค”
คือ การประกอบความลำบากเดือนร้อนแก่ตนเอง การบีบคั้นทรมานตนให้เดือนร้อน หรือเป็นการทรมานกายให้ได้รับความเจ็บปวด เป็นการปฏิบัติที่ผิด โดยเฉพาะทำให้ชีวิตมีความทุกข์เพิ่มมากขึ้นเป็นการปฏิบัติที่ไม่ประเสริฐ และไม่นำไปสู่ความหลุดพ้นแต่ประการใด ในทางตรงกันข้าม พระพุทธองค์ทรงสอนให้ฝึกอบรมจิตใจ เพราะจิตใจเป็นสิ่งที่สำคัญในร่างกายของมนุษย์ การบรรลุหรือความหลุดพ้น (วิมุตติ)
จากสรรพกิเลสเกิดขึ้นด้วยอำนาจการฝึกอบรมจิตใจ
ไม่ใช่เกิดจากการทรมานกายอย่างที่ปฏิบัติกัน
ถึงแม้พระพุทธเจ้าครั้งที่ออกผนวชใหม่ๆ
ก็เคยปฏิบัติมาแล้ว อย่างเช่น
การอดอาหาร กลั้นลมหายใจ เป็นต้น
ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5
ที่เคยปฏิบัติร่วมกับพระองค์ก่อนที่ยังไม่ได้ตรัสรู้ก็เคยปฏิบัติเช่นเดียวกัน และก็ยึดติดในแนวความคิดนั้นว่า
จะเป็นทางหลุดพ้นได้ หรือจะเป็นทางให้บรรลุโมกขธรรมได้
2.
การรื้อสร้างความเชื่อเรื่อง การเกิดและชีวิต (To deconstruction of believe
the birth and life)
ความเชื่อดั่งเดิมของสังคมชาวอินเดียเชื่อว่า
ทุกคนเกิดมาจากพระพรหม
พระพรหมเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง
พระพรหมจึงเป็นผู้สร้างโลก (Greater) เป็นพระมหาบิดาของสรรพสัตว์
เพื่อให้พระพรหมซึ่งเป็นผู้สร้างโลกและสร้างสรรพสิ่งในโลก มีความโปรดปรานชื่นชมแลพอพระทัย
มนุษย์จำต้องทำพิธีบูชาและบวงสรวงด้วยประการต่างๆ หากพระพรหมชอบพอโปรดปรานก็จะมีความสุข แต่ถ้าพระพรหมไม่โปรดก็จะมีความทุกข์ อิทธิพลทางด้านความเชื่อนี้ทำให้มีคำว่า
“พรหมลิขิต” คือชีวิตของสรรพสัตว์ พระพรหมเป็นผู้ขีดเส้นให้เป็นไป
ในกูฏทันตสูตรแห่งทีฆนิกาย พระพุทธองค์ได้ตรัสอธิบายแก่พราหมณ์ชื่อ กูฏตทันตะถือวิธีบูชายัญตามพุทธมติ จากขั้นต่ำสุดถึงขั้นสูงสุดโดยไม่ข้องแวะกับชีวิตสัตว์เลยแม้แต่น้อยเกี่ยวกับการบูชายัญที่ใช้ชีวิตสัตว์เป็นเครื่องบูชานั้น พระพุทธองค์ได้ทรงชี้ให้เห็นถึงความคิดที่ผิดที่บุคคลกระทำเช่นนั้นในอังคุตตรนิกาย
ว่า “ดูกรพราหมณ์ผู้เจริญ การบูชายัญเช่นว่านี้
บุคคลนั้นได้กระทำตรงกันข้ามกับความปรารถนาของเขา เขาคิดว่าเขาทำดีแต่เขากลับทำชั่ว
เขาคิดว่าเขาได้ก้าวเข้าสู่ทางที่จะนำไปสู่สวรรค์ แต่ว่าเขากลับตกลงสู่ทางที่จะนำไปสู่นรก”
พระพุทธเจ้า จึงได้รื้อสร้างคำสอนเดิมว่า
พระพรหมไม่ใช่ผู้สร้าง
สรรพสิ่งในโลกรวมทั้งมนุษย์เกิดขึ้นตามเหตุและปัจจัย เมื่อเหตุและปัจจัยมีพร้อมก็เกิดขึ้นเอง
คือเกิดตามธรรมชาติและพระพรหมเป็นเพียงสิ่งที่ถูกสมมุติขึ้นหาได้มีตัวตนจริงไม่
ดังนั้น
เมื่อไม่มีพระพรหม
จึงไม่จำเป็นต้องทำพิธีบวงสรวง
ยัญพิธีไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าสนใจแต่ประการใด ส่วนชีวิตของบุคคลนั้นเล่าย่อมเป็นไปตามกรรม คือการกระทำของตนเอง คนจะดีหรือชั่ว จะสุขหรือทุกข์ขึ้นอยู่กับ “กรรม” คือการกระทำสอนให้เชื่อเรื่องกรรมที่เรียกว่า
“กรรมลิขิต” คือ กรรมตัวกำหนดให้ดีหรือชั่ว
มีสุขหรือทุกข์
พระพุทธศาสนาสรุปว่า
บุคคลควรทำกรรมดีละเว้นกรรมชั่ว
เพราะกรรมดีนำไปสู่ความสุขความเจริญ
ส่วนกรรมชั่วนำไปสู่ความเสื่อมและความทุกข์
ถือได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแรกที่รื้อสร้างเรื่องการทำบุญ โดยงดเว้นวิธีฆ่าสัตว์หรือฆ่ามนุษย์บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือการทำให้ผู้อื่นเดือนร้อน
หากสอนให้ทำงานด้านสังคมสงเคราะห์แทนการเบียดเบียนและสอนให้หาทางชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดว่าเป็นบุญ
3.
การรื้อสร้างคำสอนเรื่อง ความบริสุทธิ์ (To deconstruction the doctrine
of purify)
คำสอนในพระพุทธศาสนาที่ปฏิบัติท้าทายคำสอนของศาสนาพราหมณ์คือ คำสอนว่าด้วยความบริสุทธิ์ ในศาสนาพราหมณ์สอนว่า บุคคลจะบริสุทธิ์สะอาดทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะบริสุทธิ์จากการทำบาปด้วยการบำเพ็ญตบะและการอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ คือน้ำในแม่น้ำคงคา ถ้าได้ทำบาปในเวลากลางวัน ก็จะไปลอยบาปกรรมนั้นในเวลาเย็น และถ้าทำบาปกรรมในเวลากลางคืน ก็จะไปลอยบาปกรรมนั้นในเวลาเช้า เมื่อบริสุทธิ์แล้วตายไปสู่สวรรค์
เพราะความเชื่อนี้ ในปัจจุบันจึงมีชาวฮินดูนิยมอาบน้ำในแม่น้ำคงคง
และเอาศพทิ้งลงในแม่น้ำ
ด้วยหวังว่าจะทำให้ร่างกายสะอาดบริสุทธิ์และได้ไปสู่สวรรค์ บนฝั่งพระแม่คงคาจึงมีสถานที่เผาศพเป็นจำนวนมาก
ในสังยุตตนิกาย พระพุทธองค์ตรัสกับสังครวพราหมณ์ ว่า “ดูกรพราหมณ์
ห้วงน้ำคือะรรมีศีลเป็นท่าไม่ขุ่น
สัตบุรุษสรรเสริญต่อสัตบุรุษ
เป็นที่ที่บุคคลผู้ถึงเวทอาบแล้ว
บุคคลผู้มีตัวไม่เปียกเท่านั้น จึงจะข้ามถึงฝั่งได้ฯ”
พระพุทธศาสนาให้เหตุผลว่า ความบริสุทธิ์เป็นเรื่องปัจจัตตัง
คือเป็นเรื่องเฉพาะตน ตนจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ก็เพราะการกระทำของตนเอง
สิ่งภายนอกไม่สามารถทำให้บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ได้ อนึ่งหากน้ำในแม่น้ำคงคาศักดิ์สิทธิ์สามารถทำให้ผู้อาบน้ำบริสุทธิ์และไปสู่สวรรค์ได้จริง
พวกปู ปลา เต่า หรือสัตว์อื่นๆ
ที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำคงคาก็คงจะบริสุทธิ์และไปสวรรค์กันเป็นจำนวนมาก
แม้ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์เองก็เคยถูกพราหมณ์สุนทริกภารทวาชะชักชวนไปอาบน้ำ เพื่อลอยบาปเช่นกัน
ซึ่งพระพุทธองค์ก็มีพระดำรัสสอนเกี่ยวกับการอาบน้ำในพระธรรมวินัยว่า “คนพาลที่ทำความชั่วแล้วถึงจะไปสู่แม่น้ำพหุกา แม่น้ำอธิกักกะ แม่น้ำคยา
แม่น้ำสุนทริกา แม่น้ำสรัสสตี แม่น้ำปยาคะ
และแม่น้ำพาหุมดีเป็นประจำ ก็ทำให้คนบริสุทธิ์ไม่ได้ แม่น้ำเหล่านี้จะทำอะไรได้ จะช่วยชำระสะสางผู้ทำบาปหยาบช้าให้บริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นไม่ได้ ดูก่อนพราหมณ์
ถ้าท่านอาบน้ำในศาสนาของเรา
คือมอบความปลอดภัยให้สัตว์ทั้งปวง
ไม่พูดคำเท็จ
ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น
ไม่ลักทรัพย์สินเงินทองของผู้อื่น
มีศรัทธา
ไม่ตระหนี่ถี่เหนียวแล้ว
จะต้องไปสู่แม่น้ำเพื่อประโยชน์อันใด
แม้แต่การดื่มน้ำจากแม่น้ำเหล่านั้น
ก็ไม่ทำให้เกิดประโยชน์ (ไม่สามารล้างบาปได้เลย)”
พระพุทธศาสนาสรุปว่า “ความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์เป็นเรื่องเฉพาะตน
(ปัจจัตตัง) หากบุคคลมีกายสุจริต วจีสุจริต
และมโนสุจริต
ย่อมชื่อว่าเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดโดยแท้”
4.
การรื้อสร้างคำสอนเรื่อง ชาติ และวรรณะ (To deconstruction the doctrine
of complexion and appearance)
ศาสนาพราหมณ์แบ่งคนออกเป็น 4 วรรณะ
ตามชาติกำเนิด คือกษัตริย์ พรามหณ์ แพศย์
และศูทร ในวรรณะทั้ง 4 กษัตริย์วรรณะสูงสุด รองลงมาเป็นพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้แทนของศาสดาและพระเจ้า ส่วนแพศย์เป็นพวกพ่อค้าพาณิชย์ ศูทรเป็นวรรณะต่ำสุดคือกรรมกร คนงานหรือทาส
ศาสนาพราหมณ์ถือว่าคนเราเกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ก็เป็นกษัตริย์
เป็นลูกพราหมณ์ก็เป็นพราหมณ์ เป็นลูกแพศย์ก็เป็นพ่อค้า เป็นลูกศูทรก็เป็นกรรมกรคนรับใช้
ใครเกิดไหนวรรณะไหนก็ต้องเป็นคนวรรณะนั้นตลอดไป แล้วแต่ชาติกำเนิดแก้ไขไม่ได้ คนในวรรณะสูงรังเกียจคนในวรรณะต่ำ ไม่ยอมคบหาสมาคมด้วย คนในวรรณะศูทรจึงเป็นที่รังเกียจของสังคมอินเดีย
พระพุทธศาสนนาได้รื้อโครงสร้างระบบชั้นวรรณะและชาติกำเนิด โดยเน้นว่า
บุคคลจะเลวหรือประเสริฐไม่ใช่เพราะชาติแต่เป็นเพราะกรรม ดังพระบาลีว่า “น ชจฺจา วสโล
โหติ น ชจฺจา โหติ
พฺราหฺมโณ, กมฺมุนา วสโล
โหติ กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ” ซึ่งแปลว่า “คนเป็นคนเลวไม่ใช่เพราะชาติ,
เป็นคนดี ประเสริฐไม่ใช่เพราะชาติ, แต่เป็นคนเลวหรือดีเพราะกรรม”
และในอัคคัญญสูตร พระสุตตันตปิฎก พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพราหมณ์ชื่อ
วาเสฏฐะมาณพว่า “กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดาและมนุษย์ฯ” นั้นหมายความว่าพระองค์ทรงไม่ให้ความสำคัญกับชนชั้นวรรณะเลย
แต่พระพุทธองค์กับให้ความสำคัญกับหลักศีลธรรมมากกว่าสิ่งอื่นใด
อาจกล่าวอย่างสรุปว่า พระพุทธศาสนาสอนให้ขจัดระบบชั้นวรรณะของอินเดีย
และพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแรกที่สอนให้มนุษย์เลิกดูหมิ่นเหยียดหยามกันเพราะเรื่องถือชั้นวรรณะ เพราะเหตุแห่งชาติและวงศ์ตระกูล โดยตั้งจุดนัดพบกันไว้ที่ศีลธรรม ใครจะเกิดในสกุลสูงต่ำ ยากดีมีจนอย่างไรไม่เป็นประมาณ ถ้าตั้งอยู่ในศีลธรรมแล้ว ก็ชื่อว่าเป็นคดีที่ควรยกย่องสรรเสริญ ถ้าตรงกันข้ามก็คือล่วงละเมิดศีลธรรมแล้ว แม้จะเกิดในสกุลสูงก็นับได้ว่าเป็นคนพาลอันควรตำหนิ
5.
การรื้อสร้างคำสอนเรื่อง พระเจ้า (To deconstruction the doctrine of God)
ในศาสนาพราหมณ์สอนเรื่องความนิรันดรของพระผู้เป็นเจ้า คือพระผู้เป็นเจ้ามีลักษณะเป็นอมตะ สถิตอยู่ชั่วนิรันดรและเป็นผู้สร้าง (Greater) คือสร้างสรรพสิ่งในโลกรวมทั้งมนุษย์ โชคชะตา
ชีวิต ความสุข ความทุกข์
ความเจริญ ความเสื่อม
ขึ้นอยู่กับพระเจ้า
ทำให้มีพิธีบวงสรวงบูชาพระผู้เป็นเจ้าเพื่อให้พระผู้เป็นเจ้าโปรดปราน
มนุษย์จะต้องสวามิภักดิ์และยกย่องสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน ทั้งนี้เพื่อให้พระเจ้าโปรดแล้วประทานความสุข
ความเจริญให้แก่ผู้สวามิภักดิ์
พระพุทธศาสนาปฏิเสธเรื่องความมีพระผู้เป็นเจ้า
(Existence of God) ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าไม่มีพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะเป็นพรหม พระอิศวร หรือพระนารายณ์
มนุษย์เป็นผู้สร้างพระเจ้าขึ้นตามทฤษฎีความนึกคิดของตน
การบูชาบวงสรวงเป็นพิธีกรรมของพราหมณ์เพื่อแสวงหาผลประโยชน์
พระพุทธศาสนาเป็นอเทวนิยม (Atheism) คือปฏิเสธพระเจ้าโดยสิ้นเชิงไม่ว่าพระเจ้าในลักษณะใด พระเจ้าไม่มีตัวตน
คนต่างหากเป็นผู้สร้างและมอบตำแหน่งหน้าที่ความรับผิดชอบให้แก่พระเจ้า
พระพุทธศาสนาชี้ที่ตัวมนุษย์เองว่า
เป็นผู้รับผิดชอบและกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง
พร้อมทั้งชี้ทางแห่งความสุข
ความทุกข์ ความเจริญ ความเสื่อม
ไว้อย่างครบถ้วน
นอกจากศาสนาเชนแล้ว
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวที่ไม่เชื่อพระเจ้าเป็นผู้บันดาลทุกสิ่ง ผู้สร้างทุกสิ่ง
แม้กระทั่งโลกเพราะเหตุว่าพระพุทธศาสนาไม่เชื่อในอำนาจการดลบันดาลของพระเจ้า จึงเรียกว่าศาสนาฝ่ายอเทวนิยม คือ
ศาสนาไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า
บทสรุป
(Conclusion)
จะเห็นว่าพระพุทธศาสนามีแนวความคิดแบบรื้อสร้าง
(Deconstruction) ซึ่งเป็นผลนำมาซึ่งศาสนาแห่งการประกาศความเป็นวิถีทางแห่งชีวิตใหม่แก่โลก เปรียบเสมือนโซ่ทองอันมีความสำคัญในการฉุดรั้งมหาชนชาวชมพูทวีปให้พ้นจากส่วนสุดทั้งสอง ในขณะเดียวกันพุทธธรรมก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์อุทัยขึ้นพร้อมด้วยแสงเจิดจ้าของตนทำลายความมืดบอดทางปัญญา และลักษณะคำสอนของพระพุทธองค์ก็มีลักษณะเป็นมรรควิธีหรือแนวทางในการรื้อสร้าง
(Deconstruction)
ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้.-
1.
พระพุทธเจ้าทรงรื้อโครงสร้างหลักคำสอนเดิม
โดยการเปลี่ยนแปลหลักคำสอนดั้งเดิมในพระเวทที่พราหมณ์ปฏิบัติกันอยู่อย่างตรงกันข้าม เช่น คำสอนเรื่องอาตมัน ทรงปฏิเสธและทรงสอนอย่างตรงกันข้ามคือ
อนัตตา การทรมานตนเองที่เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่นิยมกันว่าเป็นทางนำไปสู่ความหลุดพ้นทุกข์ได้ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ก็ทรงปฏิเสธแล้วทรงสอนทางสายกลางที่เรียกว่า
“มัชฌิมาปฏิปทา” แทน
2.
พระพุทธเจ้าทรงรื้อโครงสร้างการสอนโดยวิธีดัดแปลงของเก่าให้มีความหมายใหม่
(ปฏิรูป) คือสอนอย่างเก่าที่มีความหมายอย่างหนึ่ง
แต่นำมาแปลความเสียใหม่เพื่อให้ตรงกับหลักเหตุและผลยิ่งขึ้น เช่น พราหมณ์ถือว่าบุคคลจะเป็นพราหมณ์ได้จะต้องเกิดจากบิดามารดาที่เป็นพราหมณ์
และอยู่ในวรรณะพราหมณ์เท่านั้น พระพุทธองค์ไม่ทรงปฏิเสธว่า ไม่มีพราหมณ์ในโลก
แต่ทรงรื้อสร้างใหม่โดยชี้ว่าตามทัศนะของพระองค์แล้ว
บุคคลจะเรียกว่าพราหมณ์ได้นั้น ก็เป็นเพราะกรรมหรือการกระทำของเขา บุคคลหาได้เป็นพราหมณ์เพราะชาติโคตรตระกูล หรือวรรณะของเขาไม่
และในสมัยพุทธกาลถือว่า การบูชายัญเป็นการปฏิบัติของลัทธิในจารีตที่กำลังแพร่หลายโดยทั่วไป เมื่อมีผู้คนเข้าไปทูลถามเรื่องนี้ พระพุทธองค์ก็ทรงตอบว่า พระองค์มิได้ตำหนิการบูชายัญเช่นนั้นไปเสียทุกอย่าง และก็ไม่ได้ทรงยอมรับไปเสียทั้งหมดด้วย
ทรงรื้อสร้างการบูชายัญที่จะต้องมีการฆ่าสัตว์ แต่ทรงยกย่องการบูชายัญซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการชุ่มโชกด้วยโลหิต
ทรงสอนคนให้ทำการบูชายัญด้วยการไม่เบียดเบียนผู้อื่นหรือสัตว์อื่น ดังที่กล่าวมาแล้ว
จะเห็นว่าพระพุทธศาสนาสอนให้เรารื้อสร้างสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่ต้น กล่าวคือ
พระพุทธศาสนามีเป้าหมายอยู่ที่การปลดเปลื้องความยึดมั่นถือมั่นของมนุษย์ให้เป็นอิสระ ไม่มีจุดศูนย์กลางแห่งอำนาจถาวร ไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ ผิวพรรณ
ศาสนา ถือได้ว่าเป็นวิธีการแบบดีคอนสตรัคชั่น
(Deconstruction) อย่างเด่นชัด
ที่พระพุทธองค์ทรงนำมาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีคิดให้ถูกต้องและสร้างความหมายใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงอันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาได้ ถือว่าเป็นลักษณะของการรื้อสร้างในระดับโลกิยะ
แต่ยังผลในระดับโลกุตตระ
ส่วนความแตกต่างระหว่างเดอร์ริดากับพระพุทธเจ้า
อาจกล่าวได้ว่าเดอร์ริดาเน้นการรื้อสร้างทางภาษาหรือวาทกรรมต่างๆ ส่วนพระพุทธเจ้าเน้นการรื้อสร้างทางความคิด
หรือความเห็นผิด (ทิฏฐิ) อันเป็นเหตุจากอกุศลมูล
มองอีกแง่หนึ่งของเดอร์ริดาเป็นเสมือนคนปฏิเสธหลักจริยธรรม
แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธหลักจริยธรรม และทรงใช้หลักจริยธรรมเป็นแนวทางเพื่อนำไปสู่เป้าหมายของศาสนาอีกด้วย
สติมา นารีนุช
นักวิชาการศึกษา
อ้างอิง
-
คำแหง
วิสุทธางกูร, (2550). วิเคราะห์แนวคิดดีคอนสตรัคชั่นของอาสภมหาเถระและเดอร์ริดา,
รายงานวิจัย เอกสารอัดสำเนา. มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
-
เดือน คำดี, (2534), พุทธปรัชญา (พิมพ์ครั้งที่ 1) : กรุงเทพมหานคร,
สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์
-
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539),
พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย: กรุงเทพมหานคร,โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณาชวิทยาลัย
-
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต). (2539), จาริกบุญ-จารึกธรรม : กรุงเทพมหานคร,
สหธรรมิก
-
------------------------------- . (2543),
พจนานุกรมพุทธศาสตร์:
กรุงเทพมหานคร, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
-
Arthur
Anthony Macdonell (1854-1930), A
Vedic Reader for students,(Scanned of August 31,2000). In www.sacred-texts.com/hin/index/vedaread.htm.,
P.5
-
Jim
Powell. Derrida for beginners, Orient Longman Ltd, 200. India
-
Majupurias,
God, Goddesses&Religious symbols of Hunduism, Buddhism & Tantrism, P.3
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น